หากกัปตันซึบาสะตะโกนก้องฟ้าว่า “ฟุตบอลคือความฝันของผม” ชายคนนี้ก็คงตะโกนกลับไปว่า “ก็เรื่องของมรึงสิ!!!” เพราะถึงแม้เขาคนนี้จะมีใจที่รักฟุตบอลมากมายแต่เขาก็ไม่เคยไปตะโกนกรอกหูใครให้คนอื่นรำคาญ
แต่เขาใช้พื้นที่บนหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ระบายเรื่องราว ความรู้สึกที่มีต่อกีฬาที่เขารักออกมาให้เราได้อ่านกันทุกๆ เช้า
ด้วยสำนวนที่มันส์ถึงกึ๋น กระซวกเข้าไปในอารมณ์ของคนอ่านอย่างถึงใจ ปานจะแหกตู…ดดม นั่นเอง ทำให้ชื่อของ บ.บู๋ เข้ามาประทับอยู่ในกบาลของคนคอลูกหนังทั้งหลายได้อย่างไม่ยากเย็น
เราต่างรู้ว่า บ.บู๋ เป็นแฟนตัวยงของทีมแมนยูฯ และหลายครั้งที่เราได้ยินกิตติศัพท์แห่งความฮาร์ดคอร์ที่บอกเล่าผ่านมาทางตัวหนังสือของเขา วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับเขาคนนี้ให้มากขึ้นผ่านทางตัวหนังสือของเรา
BEFORE KICK OFF
(ใส่สนับแข้ง)
เวลาหนึ่งทุ่มหน้าโรงพิมพ์สยามสปอร์ตฯ ณ ร้านกาแฟแห่งนี้ ผมแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าที่นี่จะเป็นที่นัดพบของเรา ผมเคยคิดถึงการพบกันของเราตามสถานร่ำสุรามากกว่าจะเป็นที่ตรงนี้
ผมกะว่าจะชวนพี่ไปร้านเหล้า แบบว่ากินเหล้าไปคุยกันไปเพลินๆ
โอย ไม่ได้หรอก เดี๋ยวพี่ต้องทำงาน
ยังไม่เลิกงานอีกเหรอพี่
พี่เข้างาน 3 ทุ่มว่ะ
อาชีพนักข่าวกีฬานี่ ต้องทำตั้งแต่ 3 ทุ่มถึงเช้าเลยรึเปล่า
ของพี่เมื่อก่อนใช่ แต่เดี๋ยวนี้แค่รับผิดชอบงานให้เสร็จ ถ้ามีบอลก็ดูต่อ ถ้างานเสร็จก็ไปเที่ยวบ้าง กินเหล้าอะไรก็ว่ากันไป
อะไรที่ทำให้พี่เริ่มต้นอยากทำอาชีพนักข่าว มีใครเป็นแรงบันดาลใจรึเปล่า
ตอนเด็กๆ เป็นแฟนนิตยสารสตาร์ซอคเกอร์ แล้วก็ชอบดูบอลอังกฤษมาก ก็มีพี่ย.โย่ง พี่ยอด เตยหอม คือตอนนั้นยังเป็นนิตยสาร ยังไม่เป็นหนังสือพิมพ์ หรือสยามกีฬารายวัน ก็คิดไว้ตั้งแต่มัธยมเลยว่า โตขึ้นมาจะเป็นนักข่าว จะทำงานในหนังสือ ทำอย่างเนี้ย อย่างพี่โย่ง อย่างพี่ที่เขาเขียนในหนังสือนี่ให้ได้ ก็คิดไว้เสมอเลย พอกระทั่งเรียนมหาวิทยาลัย พี่เรียนศิลปกรรมที่รังสิต เราก็ตั้งใจไว้ว่าจะจบอะไร ก็ให้มันจบไปก่อน แล้วจะมาทำงานที่นี่ คือคิดไว้ตั้งแต่ก่อนจะเป็นนักข่าวร่วมๆ สิบปี
จนถึงวันนี้ พี่ทำงานที่นี่มากี่ปีแล้วครับ แล้วเข้ามาทำงานนักข่าวได้ยังไง
เข้าตอนปี 1993 ปีนี้ก็เป็นปีที่ 12 ครับ ตอนนั้นเรียนจบมาเกือบๆ ปี เราก็ไม่รู้หรอกว่าเขาเปิดรับสมัครนักข่าว ถึงตอนนั้นพ่อก็เห็นเราอยู่เฉยๆ นานเหลือเกิน เขาก็ถามว่า เอ๊ย อยากทำงานอะไร เราก็บอกไปตามตรงว่าอยากเป็นนักข่าว เขาก็บอกว่าอารู้จักพี่โย่ง ก็พาไปหาอาให้ฝากเข้ามาให้พี่โย่งช่วยพาไปฝึกงาน พี่ก็เลยมาเป็นนักข่าวฝึกงาน
แต่ที่ตั้งใจตอนแรกอยากมาทำข่าวบอลต่างประเทศ?
ใช่ๆ คือฝ่ายที่ไปอยู่นี่คือต่างประเทศแล้วล่ะ แต่ต้องทำข่าวทุกอย่าง นี่คือพื้นฐาน คือต้องรู้วิธีการเขียนข่าวก่อน ตอนเรามาเราไม่รู้วิธีการเขียนข่าวเลย ไม่รู้ว่าต้องมีโปรยหัวก่อน มีใครทำอะไรที่ไหน เมื่อไหร่ เข้าเนื้อ เข้าบท สรุป ก็ต้องมาฝึกก่อน กว่าที่จะไปเจาะว่าคนนี้จะแยกไปทำสเปน คนนี้ไปทำฝรั่งเศส อิตาลี หรืออังกฤษ ทุกคนต้องรู้วิธีการเขียน วิธีการทำงาน และรู้พื้นฐานของข่าวก่อน
ชื่อ บ.บู๋ นี่มีที่มายังไงครับ
บู๋ คือชื่อพี่ ชื่อเล่นจริงๆ พี่ชื่อจอม แต่ชื่อจริงชื่อ บูรณิจฉ์ รัตนวิเชียร เข้าป.1 เพื่อนจะไม่เรียกไอ้จอมหรอก อย่างวีระชัยชื่อไอ้วี เติมพงศ์ชื่อไอ้เติม ต่อศักดิ์ก็ไอ้ต่อ บูรณิจฉ์ก็เรียกบู เพื่อนก็ใส่ไม้จัตวาเป็นบู๋ พอม.ปลายก็บอกเพื่อนว่าชื่อจอม มันก็เรียกเราบู๋อีก พอมหาลัยก็มีคนเรียกเราบู๋อีก มีเพื่อนคนนึงเขาเห็นเราบ้าบอล เขาบอกไอ้บู๋นี่มันเหมือนย.โย่ง เพราะฉะนั้นมันต้องเป็นบ.บู๋ เท่านั้นเอง
ที่มาของสไตล์การเขียนแบบนี้?
ตอนเด็กๆ นอกจากชอบบอลแล้ว พี่ก็ชอบเพลง พี่ก็อ่านหนังสือดนตรีอยู่เล่มนึงชื่อ Quiet Storm นักเขียนที่พี่ชอบที่สุดคืออารี แท่นคำ พี่อารีแกเขียนศัพท์แบบร็อคแอนด์โรลน่ะ เช่น ขุนขวานชำเรากีต้าร์ ม่าง…ระทมกบาลชิบหายเลย อะไรแบบนี้น่ะ อ่านแล้วสะใจ แบบว่า…วัยรุ่นชอบอ่ะ พอวันนึงเรามีโอกาสได้เขียนคอลัมน์ เราก็มานึกว่าไอ้ตอนเราเป็นคนอ่านเราอยากอ่านแบบไหน พี่ก็เลยเขียนแบบที่เราอยากอ่าน เขียนสไตล์นั้นเลย โอ๊ยม่าง ยัดลงในรูตู…ด ห่าเหวอะไรก็ว่ากันไป ซึ่งมันแปลกไง ไม่เคยมีใครเขียนกีฬาอย่างนี้มาก่อน
แล้วมีผลตอบรับกลับมายังไงในช่วงแรกๆ
ก็มีคนด่าเยอะเหมือนกัน เราก็คิดว่าเอ๊ะ เราทำถูกหรือเปล่าวะ บางคนก็ด่าหยาบ แต่เราก็ไม่ได้เขียนคำหยาบลงไป อย่างบางทีในการเขียนหนังสือ เราไม่ได้บอกว่า ‘ไอ้ห่า กูแม่งโคตรเซ็งเลยว่ะ’ อะไรอย่างนี้ เราไม่ได้เขียนแบบนั้น แต่บางทีเราเขียนเหมือนกับ…การเบรคอารมณ์ ให้มันขำๆ แต่พี่ว่าคนที่ไม่ชอบเพราะว่าเราดันไปออกตัวไงว่าเราเชียร์ทีมนี้ไปเลย ซึ่งที่พี่ออกตัวเพราะพี่คิดว่าจะเป็นกลางไปทำไม เราเป็นคนอย่างนี้จะมาหลอกตัวเองหลอกคนอื่นทำไม คือถ้ากลางหมด แมนยูฯ เล่นไม่ดีก็ไม่กล้าด่า เล่นดีก็ไม่กล้าชม เพราะเดี๋ยวหาว่า โอ้โห…มึงเชียร์แมนยูฯ สรุปผู้อ่านไม่ได้ห่าอะไรจากเราเลย
แต่ด้วยบทบาทนักข่าวควรต้องเป็นกลาง?
มันมีไง เช่นแมนยูฯ เล่นไม่ดีแล้วเราไปบอกว่าแค่นี้ก็โอเคแล้ว ไม่ใช่อย่างนั้นไง คือเรามีกรอบของเราอยู่แล้วว่าเราจะเอียงได้แค่ไหน ไม่ใช่เอียงสุดขั้วเลยอย่างนั้นก็ไม่ใช่
แมนยูฯ หรือจะสู้หงส์ผงาดฟ้า
ชอบแมนยูฯ ตั้งแต่แรกเลยรึเปล่าครับ
ดูบอลมาตั้งแต่เด็ก อย่างบอลโลกที่อาร์เจนติน่าปี 1978 ตอนนั้นเราก็ประมาณ 9-10 ขวบ พอมาปี 1983 แมนยูฯชิงกับไบรท์ตัน แต่เราเชียร์แมนยูฯ นะ เพราะตอนนั้นมีลูกพี่ลูกน้องคนนึงเขาโตกว่าเรา เขาเชียร์ลิเวอร์พูล แล้วเขาบอกว่าให้เราหาทีมเชียร์สิ เราก็เลยเปิดหนังสือดู ไม่อยากซ้ำเขา ก็ดูตราสโมสร อิปสวิชก็เป็นม้าขาว แอสตัน วิลล่าก็เป็นสิงโต ฟอเรสต์เป็นต้นไม้ เราก็ไปสะดุดตากับไอ้ตัวปีศาจถือสามง่าม เห็นแล้วดูแบบว่า เท่ห์ดี ก็เลยตกลงเชียร์ทีมนี้แหละวะ
สมมุติถ้าตอนนั้นโลโก้ปีศาจแดงมันเป็นของเอฟเวอร์ตัน พี่ก็เชียร์เอฟเวอร์ตัน สิ
ฮ่าๆๆๆ ก็ใช่ไง เพราะตอนนั้นเราดูตามโลโก้ ถ้าวันนั้นเราชอบปืน เราก็คงเชียร์อาร์เซนอล ถ้าเราชอบไก่ก็เชียร์สเปอร์ส ว่างั้นเถอะ
มีมองตราอื่นไว้บ้างไหม
ฮ่าๆ มีครับ พี่เป็นคนชอบวาดรูป บางทีเราก็หยิบรูปหงส์แดงมาวาด ม้าขาวมาวาด ตราฟอเรสต์ก็วาด คือชอบเยอะ แต่ปีศาจแดงนี่มันฉีกไปเลยไง อย่างอื่นมันเป็นของบนโลก แต่อันนี้มันเป็นเดวิล
รุ่นนั้นแมนยูฯ มีใครที่เจ๋งๆ ครับ
ไบรอัน ร็อบสันไง และก็นอร์แมน ไวด์ไซด์
เฟอร์กูสัน เข้ามารึยังครับ
ยังครับ ตอนนั้นรอน แอตกินสัน ยังทำอยู่ เฟอร์กูสันมาตอนปี 1986
แล้วช่วงที่แมนยูฯ ตกต่ำล่ะ
ช่วงนั้นแหละที่พี่เชียร์ มันก็ไม่เชิงตกต่ำนะ แชมป์ลีกน่ะไม่ได้หรอก แต่ก็เป็นตัวเต็งได้ลุ้น และมันก็มีเสน่ห์ตรงที่ว่าพอมาเจอลิเวอร์พูลเนี่ย ความยิ่งใหญ่ในตอนนั้นมันสู้ไม่ได้เลย แต่เวลาเจอกันแมนยูฯ กินตลอด จนถึงยุคนี้ก็ยังกิน ฮ่าๆๆๆ
โห…เกินไปพี่ มันก็มีคั่นบ้าง
ฮ่าๆๆๆๆๆ (หมายเหตุ – เสียงหัวเราะดังขึ้นรอบวง เพราะผู้สัมภาษณ์หลักของเรางานนี้เป็นแฟนหงส์แดง และได้ออกตัวโอ่ไว้ก่อนแล้วว่า…แชมป์ยุโรปนะครับ!!! บทสัมภาษณ์ช่วงต่อจากนี้จึงมีน้ำเสียงของอารมณ์เชือดเฉือนกันแฝงซ่อนอยู่ โปรดติดตาม และอย่าได้อ่านข้ามคำเชียว)
วินาทีนี้ถ้าแมนยูฯ ต้องเจออาร์เซนอล เชลซี ลิเวอร์พูล พี่คิดว่ากลัวทีมไหนมากสุด
กลัวแพ้ลิเวอร์พูลที่สุด เพราะแพ้แล้วมันเสียหมา เพราะมันเป็นคู่ดาร์บี้แมทช์ของประเทศอยู่ดี มันเป็นแมทช์ที่ดีที่สุดอยู่วันยังค่ำ
แล้ว…คิดยังไงกับแมทช์ที่ลิเวอร์พูลได้แชมป์ยุโรปฤดูกาลที่ผ่านมา (555)
โทษนะ อย่างนัดชิงที่ผ่านมาเนี่ย มันไม่เรียกว่าเป็นสิ่งมหัศจรรย์ ไม่เรียกว่าฟลุ๊คหรือว่าอะไรนะ แต่มันเรียกว่าของแปลก! มันเรียกของพิลึก! (เสียงหัวเราะ ฮ่าๆ รอบวงเพราะยังมีแฟนแมนยูฯ และแฟนปืนใหญ่ ในทีมสัมภาษณ์ของเรา นั่งรุมหัวเราะอยู่ด้วย) คืออย่างแมนยูฯ กับบาเยิร์น นั่นเขาเรียกปาฏิหาริย์ มันคือ…มันแพ้แน่ๆ น่ะ แต่ลิเวอร์พูลมันตีเสมอมาก่อน มันไม่ได้รอเวลาบีบคั้นอะไร มันแค่โดน 3-0 ใช่มะ แล้วก็กลับมาชนะยิงจุดโทษ แต่แมนยูฯ เนี่ยแบบ…โห มันแพ้น่ะ มันแพ้เห็นๆ
เอ่อ…แมทช์นั้น แมทช์นั้นก็…
ลิเวอร์พูลมันก็แพ้เห็นๆ แต่มันแพ้ครึ่งแรกไงใช่ม่ะ ฉะนั้น…ไอ้แมทช์แมนยูฯ เนี่ย เขาเรียกมหัศจรรย์ แต่แมทช์ลิเวอร์พูลนี่เขาเรียก (พูดพร้อมกัน) …ของแปลก! (ฮ่าๆๆ – ฮารอบวง) แบบ…(ผ่อนเสียง) “เอ้อ…ไม่เคยเห็นเว้ย” …อะไรเงี้ย
ตอนนั้นพี่ดูที่…
พี่ดูที่ออฟฟิศ
แล้ววันนั้นในออฟฟิศบรรยากาศเป็นยังไงครับ เฮฮา หรือมีใครจ๋อยไหม
อย่างพี่นี่ ในฐานะที่เป็นแฟนแมนยูฯ ที่ดี ต้องเชียร์มิลานเต็มที่เลย เพราะไม่ให้ลิเวอร์พูลเกินหน้าเกินตา ว่างั้นเถอะ (หัวเราะ) แต่ที่ออฟฟิศเนี่ยเยอะ ส่วนใหญ่เนี่ย สัก 70% เนี่ยจะเป็นแฟนลิเวอร์พูลทั้งนั้นเลย อ่ะนะ แฟนลิเวอร์พูลเนี่ยมันจะเยอะ เขาก็จะฉลองกันล่วงหน้าเลย เอารูปแชมป์ เอารูปแบบว่าไปปริ๊นซ์คอมพิวเตอร์มา เป็นรูปหงส์กอดถ้วยมั่งอะไรมั่ง ตั้งแต่ก่อนเตะ ไอ้เราก็เห็นแล้วก็บอก…เฮ้ย ม่าง ทำเป็นมั่นใจนะ มรึง… เดี๋ยวเหอะ เดี๋ยวแพ้ขึ้นมานะ จะแกล้งให้หมดเลย ครึ่งแรกมันโดนนำไป 3-0 พี่เอาปากกามาเลย จะเอาไปวาดเติมรูปมัน… กะจะวาด… (พี่แกอธิบายรูปที่จะวาด จนเราหัวร่อก๊ากทั้งวง แต่ขอโทษ เราคงแบ่งคุณไม่ได้จริงๆ) สักแป๊บ… เรากำลังจะทำอยู่แล้ว เราก็เดินออกมา โห…พวกแฟนหงส์มันนั่งน้ำตาคลอเบ้ากันหมดเลย ทำใจแล้วไง ไอ้เราก็คิด…เออ ไม่เป็นไรเว้ย สงสารมัน เราอย่าเพิ่งไปเหยียบย่ำมันเลย เดี๋ยวรอให้มันหายไอ้นี่ก่อน
ดูกันเยอะไหมครับ
ดูกันเยอะ ครึ่งแรกนี่เราดูด้วยความสบายใจเลย แหม…บอลคนละตีนเลยเนอะ (มีเสียงเออออรอบวงอีกครั้ง)
แหะๆๆๆ
คนละชั้นเลยว่ะ สบายใจมากเลย พอครึ่งหลังไม่ดูแล้ว นั่งทำงานพิมพ์งานหน้าคอมฯ แล้วไม่ได้ดูเลย กำลังพิมพ์ๆ งานอยู่…มันยิงตีไข่แตกมาเป็น 3-1 พี่เหลือบไปดู ก็ธรรมดา…เป็นธรรมดา บอลโดนนำ 3-0 ตีไข่แตกมาหนึ่งลูกก็ธรรมด๊า… เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว ใช่มะ เราก็นั่งทำงานต่อ พอมันยิง 3-2 ปึ้ง! ขึ้นมา (ทำเสียงเครียด) กูไม่ทำงานและ ไปนั่งลุ้นก่อนเว้ย ชักไม่ดีแล้วเว่ย อีกแป๊บเดียวเลย
ฮิ ฮิ ฮ่ะๆๆๆ
พอตีเสมอปุ๊บ ตอนนั้นนี่พี่รู้และ… จากประสบการณ์ที่ผ่านมาเนี่ย คือบอลมาอย่างเงี้ย ม่างไม่ค่อยพลาดหรอก (อืม) บอลที่มาทีหลังมักจะไม่ค่อยพลาด
แล้วยิ่งมาเจอดูเด็กเซฟระยะนั้นอีก ฮ่ะๆๆ
รู้แล้ว!! เรียบร้อยแล้ว รู้แล้วว่าเชียร์ไม่ขึ้นแล้ว คือพูดง่ายๆ ถ้าจะด่าว่าลิเวอร์พูลฟลุ๊คอ่ะ… ต้องด่าว่ามิลานม่างควาย! ใช่มะ ไม่ใช่ไปบอกลิเวอร์พูลฟลุ๊ค ฟลุ๊คห่าอะไรยิงได้ตั้ง 3 ลูก
อืม…มิลานเวลาโดนกดดันหนักๆ แล้วชอบเป็นแบบนี้
มิลานม่างควายมาก คือ…ใครถามพี่เรื่องนี้ พี่ก็บอก…โธ่ ไอ้… ให้เอาทีมชาติไทยไปเล่นครึ่งหลัง ก็ไม่โดนยิงถึง 3 ลูก ว่าไหมล่ะ แต่มิลานเจือกโดนอ่ะ ใช่ม่า… คือฟุตบอลเนี่ย มันมีอะไรที่อธิบายไม่ได้อยู่ บางทีมันเป็นความรู้สึกอย่าง 3-0 แล้วตี 3-3 เนี่ย ความรู้สึกเราบอกเต็มที่เลย…ว่าลิเวอร์พูล ม่าง…ได้แชมป์แน่ๆ ว่ะ
โดนแบน 4 ครั้ง อดฟังอะดิ สม!
พี่เคยจัดรายการวิทยุ แล้วทำไมถึงเลิกจัดครับ
โดนแบนไง โดนแบน 4 รอบ ทำลายสถิติโลก
แล้วไปทำยังไงถึงโดนแบนครับ
เราจัดวิทยุเนี่ยแบน 4 ครั้ง พูดตามตรงเลยนะ ไม่ได้เข้าข้างตัวเอง ไม่เคยผิดสักครั้งแต่ขี้เกียจเถียง คือมันไม่เข้าใจเราไง เราไม่ได้มีเจตนาอะไรอย่างนั้น ครั้งแรกเราก็จัดแบบสไตล์เรา สนุกสนาน ยิ่งจัดยิ่งมันส์ พูดตลก หัวเราะไปเรื่อย อำดาราไปเรื่อย นักร้องคนไหนลอกเพลงมา เราก็เปิดเพลงต่อกันเลย ทั้งเพลงไทย และเพลงฝรั่งที่ไปลอกมา แล้วเราก็บอกว่าฝรั่งมันลอกเรา ประชดอะไรไปเรื่อย แล้วอย่างเรารับโทรศัพท์เนี่ย บางคนเห็นเราสนุกก็โทรมา แล้วทำเกินเลยกับเรา เราก็ไม่ว่าอะไร จนมีวันนึงมีคนโทรเข้ามา แล้วพูดด่าเราว่า ‘พวกมึงน่ะ ไอ้สัตว์’
พูดออกอากาศ?
ครับ คนที่คอนโทรลเขาตัดไม่ทัน คำว่า ‘ไอ้สัตว์’ เนี่ยหลุดออกอากาศไปแล้วค่อยตัด พี่ก็พูดต่อว่าคนเรานี่แปลกนะ มีร้อยพ่อพันธุ์แม่หลากหลายเผ่าพันธุ์ บางพวกพ่อแม่ก็ไม่ค่อยสั่งสอน ก็โทรมาด่า โทรเข้ามาแสดงความถ่อย ความเถื่อนในรายการวิทยุ ไม่ได้มีความคิดอะไรเลย กลับกลายเป็นว่า…พี่ด่าพ่อแม่ท่านผู้ฟัง ก็เลย…โดนแบน
เวลาโดนแบนนี่ นานแค่ไหนครับ
ไม่มีกำหนด พอหลังจากครั้งแรกผ่านไปเกือบปีก็มีเสียงเรียกร้องให้กลับไปจัด คราวนี้เราก็ไม่รับโทรศัพท์แล้ว ก็คุยกันสนุกสนาน อำนู่นอำนี่ไปเรื่อย นสพ.ฉบับหนึ่งเขียนด่า ยกตัวอย่างว่าพี่ไปอำท่านผู้ฟัง ไปอำคนเขียนจดหมายมาหา …คือมันไม่ใช่คอลัมน์กีฬาไง แล้วมันก็ไม่เคยฟัง แล้วเปลี่ยนมาฟัง ก็เขียนด่าพี่ ปรากฏว่า…ก็โดนแบนไปอีกรอบ
ตอนนั้นกลับมาจัดได้นานแค่ไหนครับ
3 อาทิตย์เอง
แล้วครั้งที่สามล่ะครับ
ครั้งที่สามก็สไตล์เหมือนเดิม ครั้งนี้เราก็ลดดีกรีลงมา แต่ครั้งที่สามนี่กดดันมาก เพราะโดนจับผิด ทางสถานีจับผิดคำพูดเลยว่ามีคำพูดไหนไม่เหมาะสมบ้าง คำพูดไหนด่ากระเทย แต่พี่ไม่ได้ด่ากระเทยนะ พี่เอาเรื่องนักฟุตบอลกับเรื่องนักดนตรีที่เป็นตุ๊ดมาพูดในวิทยุ
มีนักฟุตบอลเป็นตุ๊ดด้วย?
มี เป็นเกย์น่ะคนฝรั่ง เขาก็เตือนมาว่าอย่าให้พูดเรื่องกะเทยในวิทยุ เราก็ไอ้ห่า อะไรวะ ห้ามพูดเรื่องกะเทยด้วย พออีกวันนึงพี่ก็บ้าหนังจีน พี่ก็เล่าเรื่องราชวงศ์ว่ามีราชวงศ์ชิงหมิง พูดว่า ‘ต้านชิงกู้หมิง’ เท่านั้น มาเลยคราวนี้มาห้ามพูดเรื่องราชวงศ์จีน เพราะเดี๋ยวจะกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เราก็คิดว่าจะเอาอะไรกันนักกันหนานะ คือตอนนั้นไอ้คนมีอำนาจชื่อเหี้-ไรไม่รู้ แม่งเป็นตุ๊ด ห้ามพี่พูดเรื่องกะเทย อ้าว…ไอ้สั… เล่นกูงี้ใช่มะ กูเอาซีเปียเปิดแม่งเลย…เกลียดตุ๊ด (ฮากันรอบวง)
เลยโดนเลยทีนี้
คือเพลงมันโดนแบนอยู่แล้ว และเราก็เปิดเพลงที่โดนแบน เกลียดตุ๊ด แม่งเลย เกลียดตุ๊ด โดนแบนอีกรอบเลย 3 รอบแล้วนะ คือรอบที่สามแรกๆ ก็แค่เตือน พอเปิดเพลงนี้โดนเลย
แล้วครั้งที่ 4
หลังจากครั้งที่ 3 ก็หายไปนานเลย 2-3 ปี ไปอังกฤษ พอกลับจากอังกฤษมาหมาดๆ ก็มาทำวิทยุใหม่อีกที ทีนี้วิทยุมันเปลี่ยนแปลงจัด FM XX เนี่ย หมดเวลาแค่ตีสอง หลังจากนั้นต้องเปลี่ยนคลื่น ที่เขาเอาเรามาจัดเพราะเขาต้องการให้เราดึงคนฟังเพื่อเปลี่ยนคลื่นตามเรา เราก็บอกว่า…ครับ ตอนนี้ตีสองแล้วใครจะไปฟังต่อก็ฟังช่อง XXX นะครับ พี่ก็มาเลย (ทำเสียงเหมือนจัดวิทยุ) ตอนเนี้ยตีสองแล้วใครที่ได้ยินเสียงของ บ.บู๋ แล้วไม่บิดคลื่นตามไปที่ XXX จะมีเท้าโผล่จากลำโพงแล้วกระทืบหน้าท่าน เหมือนหนังเรื่องเดอะริง ใครดูวีดีโอแล้วไม่ก็อปปี้ต่อก็จะตาย เราก็พูดงี้ …เลยโดนข้อหากระทืบหน้าท่านผู้ฟัง!!! ปัญญาอ่อนไหมล่ะ ตั้งแต่วันนั้นก็เลยสาบานกับตัวเองไว้ว่า ให้กูจัด กูก็ไม่จัดแล้ว เพราะเขาจะเอาเราไปเพื่อให้สไตล์เราให้คนฟัง และคนชอบฟัง แต่พอเราเป็นตัวเราแล้วเขากลับรับไม่ได้ แล้วถามหน่อยว่าจะเอานายหมูนายหมาอะไรไปทำก็ได้ไม่ต้องเอาสไตล์กู ก็ในเมื่อกูไปทำยังไงก้โดนแบน
โดนแบนกี่แมทช์ครับ
ตลอดชีวิตครับ คือจริงๆ เขาก็แบนตลอดชีวิตทุกครั้งแหละครับ แต่พอเขากลับมาตามเราไปทำ เราก็ไปทำ
แล้วอย่างรายการ ‘แฟนซ่ากีฬามันส์’ ที่ทำอยู่ทำไมเขายังให้จัดได้อยู่
นั่นมันรายการเทปไง มันไม่ใช่รายการสดนี่ มันตัดต่อได้ เราพูดไปเดี๋ยวเขาก็มีคนไปตัด ขนาดเราพูดตูดยังโดนตัดเลย
ตัดคำพูดนี่จุกจิกแค่ไหน มีอะไรที่พี่รู้สึกว่าแหม…จะห้ามทำไมเนี่ย
อุบาทว์นี่ก็พูดไม่ได้ ทุเรศนี่ก็พูดไม่ได้ บางทีมันไม่ถึงกับหยาบ แต่ก็พูดไม่ได้
ไปประจำที่ England ทุ่งหญ้าอ่อนแห่งความฝัน
เคยฝันมั้ยว่าจะได้ไปใช้ชีวิตในอังกฤษ ได้ดูบอลฟรี ได้เจอนักฟุตบอลที่ชื่นชอบทุกๆ อาทิตย์ ตอนพี่เข้ามา เพิ่งส่งไปแค่ 2 คนเองก็ไม่ได้คิดอะไรมาก แต่พอมาอยู่ ก็มีตั้งความหวังไว้ เพราะใครก็อยากดูบอลฟรี อยากไปสัมผัสโลกกว้าง มันก็มีตั้งความหวัง ไม่งั้นก็ไม่มีไฟในการทำงาน รับเงินไปวันๆ ไม่กระตือรือร้นไง ไปอังกฤษ 2 ปี มันเหมือนไปเรียนโดยไม่มีปริญญา พอกลับมาก็มีคุณภาพมากขึ้น มีประสบการณ์มากขึ้น อย่างตอนเป็นบก. พี่พาดหัวหนังสือก็พาดตามสไตล์เรา แต่พออยู่อังกฤษ ตลอด 2 ปี 600 วันอยู่ที่นั่น อ่านหนังสือพิมพ์อังกฤษทุกวัน เห็นรูปแบบการพาดหัว เห็นรูปแบบดัมมี่ การเล่นเรื่อง การเขียนคอลัมน์ การใช้อารมณ์ของเขา ดูรายการทีวีฝรั่งต่างๆ กลับมาพัฒนาได้หมดเลย แล้วยังการเดินทางและประสบการณ์ในสนามบอลอีกล่ะ กลับมาเหมือนมีความรู้แบกมาเต็มเลย อย่างหนังสือแฟนผีฯที่พี่ทำก็ได้มาจากอังกฤษ ทำไมต้องอยู่ในกรอบเดิมๆ ทำไมฝรั่งมันกล้าที่จะด่าเวนเกอร์ กล้าที่จะด่าลิเวอร์พูล
ที่อังกฤษ ชีวิตลำบากไหมครับ
ไม่ลำบากหรอก บางทีที่พี่เขียนมาเพื่อให้คนเห็นใจมั่ง อย่างอยู่ที่เมืองไทยอยากกินอะไรก็ขับรถไปเซเว่น แวะตลาดโต้รุ่งบ้าง แต่อยู่ที่นู่นไม่มีอย่างนี้ อาหารไม่ถูกปาก ก็ต้องทำเอง ของแพงก็ต้องใช้เงินประหยัด แต่โดยรวมน่าอยู่ เพราะบ้านเมืองเขามีระเบียบวินัย มีคุณภาพ เราจะไม่เจอรถเมล์จอดไม่ตรงป้าย ไม่มีการแซงคิวกันซื้อของ ไม่เจอแท็กซี่ขับโง่ๆ คนขับรถเมล์กว่าจะได้ใบขับขี่เลือดตาแทบกระเด็นต้องสอบจำถนนให้ได้ทุกซอกซอย แต่เงินเดือนสูงสามสี่หมื่นบาทเลย เพื่อที่ว่าอยากให้คนที่มีคุณภาพมาทำ ไอ้เรื่องที่ว่าขับรถเมล์เหยียบหัว กระชากคนตกนั้นไม่มี เพราะบ้านเมืองเขามีคุณภาพ
คนดูบอลเมืองนอกกับเมืองไทยต่างกันยังไง
ต่างกันเยอะ เพราะเมืองนอกเขาจะปลูกฝังรากมานาน เป็นความผูกพันของพื้นฐาน เหมือนกับกิจกรรมของครอบครัวว่างั้นเถอะ ทุกวันเสาร์สมมุติว่าบ้านพี่อยู่ในเมืองลิเวอร์พูล พี่จะเชียร์เอฟเวอร์ตันก็ได้ ลิเวอร์พูลก็ได้ แล้วแต่ความชอบหรือจะตามพ่อแม่ปู่ย่าก็ได้ แต่คนไทยเนี่ยวันเสาร์เข้าห้าง ไปต่างจังหวัด คนอังกฤษวันเสาร์ไปสนามบอล ขึ้นรถไปเชียร์เมื่อเป็นทีมเยือน เขาปลูกฝังมาเป็นร้อยปีแล้ว บรรยากาศมันเข้าถึงมาก เวลามันเชียร์มันด่าเหมือนมันเป็นชีวิตมัน
ไทยจะไปบอลโลก &#@%^@.l.
แล้วนักเตะไทยกับต่างชาติ มีความแตกต่างกันยังไง
อย่างแรกเลยรูปร่าง ถ้าได้ดูศึกสี่เส้าที่ผ่านมา (ไทย, โบลตัน, เอฟเวอร์ตัน, แมนฯ ซิตี้) จะเห็นได้เลยว่ากองหน้าเราเล็กกว่ากัน เบียดสู้มันไม่ได้ ต่อมาก็เป็นเรื่องของระเบียบวินัย ความไม่เป็นมืออาชีพ นักฟุตบอลอังกฤษมีความรับผิดชอบในตัวเองสูงเพราะเหมือนงานทำแล้วได้เงิน แต่คนไทยทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะไม่มีอาชีพรองรับ
แต่บอลลีกคนไทยก็มีรายได้นะครับ
น้อย รายได้น้อย แล้วคนก็ไม่ค่อยดู เพราะมันไม่สนุก
แล้วอย่างนี้บอลไทยจะประสบความสำเร็จเหรอครับ
ก็ได้แค่แชมป์ซีเกมส์ไง ส่วนบอลลีกนี่คงไม่มีทาง ถ้ามีทางก็คงต้องใส่ลูกระเบิดขับรถแล้วไปบอมบ์สมาคมฟุตบอล เพราะพวกแก่ๆ ไดโนเสาร์มันเยอะ เห็นแก่ผลประโยชน์ คนเก่งๆ มีเยอะแยะไม่ให้เข้าไปบริหาร
คิดว่าการซื้อสโมสรฟุตบอลต่างชาติจะช่วยไหมครับ อย่างตอนนั้นที่นายกจะซื้อลิเวอร์พูล
ไม่ช่วยอะไรเลย เพราะมันเป็นเรื่องของที่อังกฤษ คนก็ไปบ้าลิเวอร์พูล ไม่ได้ช่วยบอลไทย ถ้าจะช่วยบอลไทยคงต้องเริ่มที่ความผูกพัน ความเป็นเจ้าของ เริ่มจากการเป็นทีมสตูล พังงา ลพบุรี สุพรรณฯ กรุงเทพฯ แต่ตอนนี้ถามว่าให้ไปเชียร์ทีมโอสถสภาด้วยเหตุผลอะไร
แต่มีอยู่ยุคนึงที่คนแห่กันไปเชียร์นะพี่
ใช่ครับ ยุคคลาสสิค เช่นท่าเรือ ทหารอากาศ ยุคนั้นทำได้เพราะบอลเล่นคลาสสิค มีการเล่นสวย มีดารา ปิยะพงศ์ วรวรรณ พิชัย เฉลิมวุฒิ พวกนี้เล่นบอลสวย มีทักษะมีลีลา ฟุตบอลสมัยนี้จะเห็นเลยว่าไม่มีลีลา แต่ละคนจะก้มหัวมุดๆๆอะไรก็ไม่รู้ เล่นกัน 0-0, 1-0 แต่สมัยก่อนเล่นกันสนุก บ้านพี่อยู่แถวสนามศุภฯ เมื่อก่อนพี่ดูทุกวันเลย ถ้วย ก. ถ้วย ข. โตโยต้า คัพ พี่ดูหมด แล้วคนดูกันเป็นหมื่น พี่ก็เชียร์ทหารอากาศเพราะตอนนั้นมีปิยะพงศ์ ผิวอ่อน แต่ตอนนี้มันไม่มีไอดอลให้ตาม ตอนนี้ซิโก้ก็ไปอยู่เวียดนาม ก็เลยไม่รู้จะดูอะไร
อาจเป็นเพราะเมื่อก่อนไม่มี UBC รึเปล่า คนเลยดูบอลไทยกันเยอะ
มันก็มีเหตุผล แต่ถ้าบอลไทยสนุกและมีความผูกพัน บรรยากาศในสนามมันย่อมดีกว่าจะดูในทีวี อย่างทหารอากาศเจอราชประชา เป็นแมทช์สำคัญบอลลีก เป็นแมทช์ที่ทหารอากาศแพ้ไม่ได้ แข่งที่ธูปเตมีย์ กูก็จะนั่งรถไปดูไปเชียร์ปิยะพงศ์ของกู บอลพรีเมียร์ไว้ดูวันหลังก็ได้
พี่ว่าบอลไทยจะได้ไปบอลโลกป่าวครับ
ไปได้ แต่อีก 500 ปีครับ
แหม 450 ไม่ได้เหรอ
500 แหละ ไม่ได้บอกผ่าน ฮ่าๆๆๆ
ไม่เป็นการตัดทอนกำลังใจเกินไปหรือครับ
จะตั้งเป้าว่าจะไปฟุตบอลโลกทำไม ในเมื่อพื้นฐานยังไม่มี บอลลีกยังไม่มี เหมือนเป็นเด็กอายุ 3 ขวบ จะให้ไปบริหารงานได้ไง เหมือนจะไปจีบผู้หญิงเป็นนางงาม แต่หน้าส้นตีนแล้วจะเอาอะไรไปจีบเขาล่ะ ถ้าจะจีบสวยๆ ได้ ต้องหน้าตาดี นิสัย ฐานะดี ซึ่งเหมือนกัน ไทยไม่มีอะไรเสือกตั้งเป้าจะไปบอลโลก อย่างไทยได้แค่แชมป์ซีเกมส์ ต้องตั้งเป้าไปเลยว่าต่อไปต้องเอเชี่ยนเกมส์ ขั้นต่อไปคือเอเชี่ยนคัพ ไปโอลิมปิก ส่วนญี่ปุ่น เกาหลี เขาทิ้งเอเชี่ยนเกมส์แล้ว เพราะเขาส่งชุดสองมาเล่นแล้ว เพราะเขาขึ้นไปสูงจนไม่ลงมาแล้ว มันต้องค่อยๆก้าวทีละขั้น แต่เมืองไทย อีก 4 ปี จะไปบอลโลก แล้วไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าพร้อมแล้วหรือยัง ถามหน่อยเถอะไปแล้วได้อะไร เฮ่อ… เธอ
Lite Magazine
Por
2001-2024 RED ARMY FANCLUB Official Manchester United Supporters Club of Thailand. #ThaiMUSC